แก้ม ปัญญ์วณิชยา ฤทธิ์ยืนยง

เส้นทางชีวิตที่เราต้องเป็นผู้เลือก

ในการเดินทางบนเส้นทางที่เรียกว่า “ชีวิต” อาจมีหนทางหลากหลาย กว่าที่แต่ละคนจะไปถึงยัง “จุดหมาย” ที่คิดฝันไว้ และระหว่างหนทางเหล่านั้น ต่างคนต่างได้เก็บเกี่ยวมุมมองชีวิต ความรู้ความเข้าใจ และประสบการณ์ ผ่านการคิดและทำ ผสานด้วยจินตนาการ สั่งสมเป็นเสบียงเพื่อก้าวเดินให้ถึงเส้นชัยของแต่ละคน

เช่นเดียวกับ “น้องแก้ม”  ปัญญ์วณิชยา ฤทธิ์ยืนยง อีกหนึ่งความสำเร็จของลูกโสสะจากหมู่บ้านเด็กโสสะเชียงราย ที่จบการศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพื่อเป็นนางพยาบาล แต่ด้วยเส้นทางชีวิตหักเห จากสถานการณ์โควิด-19 จนปัจจุบันผันตัวเองมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ และยังเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ผู้กำลังปลุกปั้นผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกที่เป็นผลงานแห่งความภาคภูมิใจของเธอและน้องสาวไปพร้อมกันด้วย

ช่วยเล่าชีวิตในวัยเด็กให้ฟังหน่อยค่ะ

หนูเข้ามาอยู่ในครอบครัวโสสะเมื่ออายุ 10 ขวบ พร้อมกับพี่น้องอีก 3 คน ซึ่งเป็นพี่น้องที่ร่วมสายเลือดกัน  ช่วงแรกที่เข้ามาอยู่ก็ต้องปรับตัว เพราะแปลกที่แปลกทาง ในใจก็กล้าๆ กลัวๆ แต่ด้วยเรามีพี่น้องมาด้วยกัน และในหมู่บ้านก็จะมีเด็กๆ เยอะ จึงทำให้เราปรับตัวได้เร็ว เพราะกิจกรรมของเด็กๆ ที่ว่างเว้นจากการเรียน และทำงานบ้านเสร็จ ก็จะวิ่งเล่น มันเป็นความรู้สึกที่สนุกมากๆ และทำให้เรามีความสุข โดยไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัว กลัวที่จะอด กลัวที่จะไม่มีใครอีกต่อไปค่ะ

การเป็นลูกโสสะ น้องแก้มรู้สึกขาดอะไรในชีวิตไปไหม หรือรู้สึกกดดันในเรื่องอะไรบ้างหรือไม่

ไม่มีเลยค่ะ คิดแต่ว่าเรานี่โชคดี โชคดีกว่าใครหลายๆ คน มีช่วงชีวิตในวัยเด็กที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ได้กินอิ่ม นอนหลับอย่างสนิทใจสบายใจ และที่สำคัญเราได้รับโอกาสทางการศึกษาสูงสุดจนจบปริญญาตรี ถึงแม้เราจะมีเงื่อนไขการใช้ชีวิตแต่หนูก็ไม่รู้สึกกดดัน คิดแค่ว่าเมื่อไรมีโอกาสเข้ามา เราจะรีบคว้ามันไว้ ที่ไหนมีกิจกรรมให้เข้าร่วม ถึงแม้ไม่มีใครไปกับเรา เราก็จะไป (หัวเราะ)

พอเรียนจบแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องออกมาใช้ชีวิต ดูแลตัวเองนอกหมู่บ้าน น้องแก้มทำอย่างไร และรู้สึกอย่างไร

พอเรียนจบแล้วรู้สึกโดดเดี่ยว เหมือนกับว่าเราอยู่ตัวคนเดียว ครอบครัวใหญ่ที่เราเคยอาศัยอยู่ด้วย ก็จะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว แต่พอออกจริงๆ ก็ยังมีน้าๆ เจ้าหน้าที่ในหมู่บ้านโทรศัพท์ มาถามสารทุกข์สุกดิบเสมอว่า เป็นอย่างไรบ้าง? ก็ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความห่วงใยนั้น และก็คิดว่า ถึงเวลาแล้ว เราเรียนจบแล้ว ก็ต้องออกมายืนด้วยตัวเองให้ได้  (ร้องไห้) เพราะสิ่งที่หมู่บ้านเด็กโสสะกำลังทำ คือ ช่วยเหลือเด็กๆ อย่างพวกหนู ให้ได้เติบโต ได้รับการศึกษา จนถึงวันที่มีความพร้อมสำหรับการประกอบอาชีพ ดูแลตัวเอง เป็นทรัพยากรคุณภาพในสังคมนี้ได้

จากเด็กที่ไม่มีอะไรเลยในชีวิต แต่ทุกคนก็ยอมเหน็ดเหนื่อย และมีผู้คนจำนวนมากกรุณามอบ “โอกาส” เพื่อพวกเรา ดังนั้นเราต้องอยู่ให้ได้และต้องมุ่งมั่นพัฒนาชีวิตตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่สามารถค่ะ

ตอนนี้น้องแก้มทำงานอะไรอยู่คะ

ช่วงเย็น จะสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ค่ะ และอีกงานหนึ่งที่ทำอยู่คือธุรกิจลิปสติก โดยร่วมกันทำกับน้องสาว ซึ่งที่จริง เริ่มทำกันมาตั้งแต่หนูยังเรียนพยาบาลแล้วค่ะ

น้องแก้มเรียนจบพยาบาล ทำไมจึงไม่ได้ทำงานตามสายงานตรงกับที่เรียนมาคะ

ช่วงที่หนูเรียนจบมา เป็นช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนักมากค่ะ ตามโรงพยาบาลต่างๆ จึงยังไม่ค่อยรับเด็กจบใหม่เข้าทำงาน ระหว่างนั้นก็เลยคิดว่าเมื่อเรียนจบแล้ว เราจะทำอะไรก่อนดีนะ หนูเห็นรุ่นพี่เราหลายคนเขาเปิดกลุ่มสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ เริ่มแรกในกรุ๊ปที่เปิดเรียน มีแค่ประมาณ 10 กว่าคน แต่ปัจจุบันมีสมาชิกกลุ่มประมาณ 30,000 คนแล้วค่ะ ชื่อกรุ๊ปเรียนในเฟชบุ๊ก คือ  Free English Class เรียนภาษาอังกฤษฟรี (มีในโลก) เป็นกรุ๊ปที่เปิดให้คนผู้ที่สนใจ ได้เรียนฟรีๆ นะคะ แต่ถ้าใครสนใจมากกว่านั้น ก็ต่อยอดเรียนเพิ่มเติมได้ค่ะ นั่นเป็นจุดเริ่มต้น ให้หนูได้มาทบทวนตัวเองใหม่อีกครั้งว่า บางครั้งที่สถานการณ์ไม่เป็นไปตามแผนการที่คิดไว้ เราอาจต้องเลือกทำอะไรสักอย่างที่เราชอบก่อน หรือเห็นความเป็นไปได้ก่อน ในขณะที่เวลาและโอกาสเอื้ออำนวย

นอกจากการสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ในช่วงเวลาเย็นแล้ว ระหว่างวันหนูก็ทำธุรกิจส่วนตัว คือ ลิปสติก ที่ทำกับน้องสาวค่ะ งานนี้เป็นสิ่งที่ท้าทายมากสำหรับพวกเรา เพราะได้เรียนรู้กันด้วยตัวเองในเกือบทุกขั้นตอน ตั้งแต่วางแผนการทำงานร่วมกันทั้งหมด หาบริษัทที่ผลิตลิปสติก มีการเทสผลิตภัณฑ์ วางแผนการตลาด หานางแบบกันเอง มีจดทะเบียนขออนุญาตผ่าน อย. โดยบริษัทที่ผลิต ช่วยให้คำแนะนำเพิ่มเติม ในส่วนงานเฉพาะทางต่างๆ ตอนนี้ ก็จดทะเบียนสินค้าส่วนบุคคลไปก่อน ซึ่งชื่อสินค้าก็ใช้ชื่อ Wania Supper Matte ค่ะ เป็นงานที่หนูและน้องภาคภูมิใจและลุ้นให้เกิดผลสำเร็จตามที่พวกเราทุ่มเทกันมา

เรื่องที่อยากแบ่งปันจากการเป็นลูกโสสะ

สิ่งที่หนูเรียนรู้จากการเป็นลูกโสสะมาโดยตลอด คือการเป็น “ผู้ให้” เรียนรู้เรื่องนี้จากผู้ใหญ่ใจดีหลายๆ คนที่มอบโอกาสแห่งชีวิตให้พวกเรา มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่หนูได้มีโอกาสต้อนรับคณะผู้ใหญ่ใจดี และหนูจำได้ว่า หนูบอกผู้ใหญ่ไปว่า ตอนนี้ หนูเป็นได้แค่ผู้รับ เมื่อวันหนึ่งที่หนูพร้อมแล้ว หนูก็อยากเป็นผู้ให้เหมือนกัน 

หนูขอขอบพระคุณในจิตเมตตาที่ทุกท่านมอบให้ลูกโสสะมาโดยตลอด ในวันนี้หนูก็หวังว่า ท่านจะได้เห็นสิ่งที่ท่านช่วยหล่อหลอมพวกเรามา ว่าไม่ได้สูญเปล่า และทุกๆ เส้นทางชีวิตที่หนูเลือกเดิน ก็จะทำมันให้เต็มที่เสมอค่ะ