“รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” ที่เราได้ยินมาเนิ่นนาน เป็นวิธีการที่เชื่อว่าผู้ใหญ่หลายๆ คนมักโตมาด้วยการทำโทษอย่าง “การตี” แต่สำนวนไทยนี้อาจจะไม่เหมาะกับการเลี้ยงลูกในปัจจุบันค่ะ เนื่องจากการสอนลูกด้วยวิธีต่างๆ มีความเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ด้วยสื่อและเทคโนโลยีที่ช่วยให้เราเข้าถึงความรู้ ความเข้าใจ ได้มากและหลากหลายยิ่งขึ้น เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่มีช่องทางในการศึกษาวิธีอบรมเลี้ยงดูลูกน้อยของตนเองได้อย่างดีและเหมาะสมที่สุด แล้วการสอนลูกด้วยการตีนั้นดีจริงไหม? น้องโสสะขอแนะนำให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้ทำความเข้าใจกันค่ะ
การตี ส่งผลร้ายต่อเด็กอย่างไร
การตีเพียงอย่างเดียว อาจทำให้ลูกเจ็บและรู้สึกกลัวจึงหยุดทำ แต่ลูกไม่ได้เข้าใจเหตุผลว่าเพราะอะไรหรือทำไมจึงทำเช่นนั้นไม่ได้ ทำให้เด็กมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การตอบสนองในเชิงลบได้ การที่เด็กถูกตีบ่อยๆ ตั้งแต่ยังเล็ก จะซึมซับจดจำพฤติกรรมจากพ่อแม่นำไปสู่การใช้ความรุนแรงแบบเมื่อโตขึ้น กลายเป็นคนก้าวร้าว ขาดความมั่นใจในตนเอง เครียดง่าย และร้ายแรงถึงขั้นกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้
5 วิธีลงโทษ โดยไม่ต้องตีลูก
มีหลายวิธีที่สามารถทำโทษเพื่อสอนลูกได้โดยไม่ต้องใช้การตีค่ะ แต่ที่สำคัญเลยคือ คุณพ่อคุณแม่ต้องใจเย็น จัดการอารมณ์โกรธของตัวเองให้ได้ก่อน เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีในการอบรมลูกด้วยเหตุผล นอกจากนี้จะช่วยให้มีสติไม่เผลอใช้คำพูดต้องห้ามทำร้ายลูก โดยไม่ตั้งใจอีกด้วยค่ะ
1. ตักเตือน
เหมาะกับเด็กเล็ก โดยใช้การตักเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจังเมื่อลูกทำผิด เพื่อสร้างการรับรู้ให้เขาเข้าใจว่ากำลังทำผิดและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ดี เช่น เมื่อลูกแย่งของเล่นจากเพื่อน พ่อแม่ควรเตือนว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ และหากลูกถูกคนอื่นแย่งของบ้างจะรู้สึกเสียใจเหมือนกันใช่ไหม เป็นต้น
2. การเข้ามุม (Time Out)
การเข้ามุม หรือการแยกเด็กออกมาจากสถานการณ์ที่ทำให้เด็กเกิดปัญหาพฤติกรรม ซึ่งเป็นการช่วยให้เด็กอยู่ในพื้นที่สงบ ระงับอารมณ์ หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของตนเอง เป็นการสร้างพื้นที่สงบ ปลอดภัย ให้ลูกได้นิ่งคิดเพียงลำพัง ทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่าถูกต้องหรือไม่ ที่สำคัญคือ
- ห้าม! ปิดประตูหรือขังไว้ในที่แคบหรืออันตราย
- จำเป็นต้องพิจารณาที่อายุของเด็กด้วย โดยให้ระยะเวลาเหมาะสมกับอายุของเด็ก เช่น เด็กอายุ 1 ขวบ ควร time out ไม่เกิน 1 นาที, เด็กอายุ 2 ขวบ ควร time out ไม่เกิน 2 นาที เป็นต้น
- ต้องอธิบายเหตุผลให้ลูกเข้าใจก่อนและหลังทำ Time out ว่าลูกทำผิดเรื่องอะไร
3. กล่าวชมเมื่อทำดี และไม่ตอบสนองส่งเสริมเมื่อลูกทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม
ใช้เพื่อหยุดพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม โดยต้องไม่เป็นอันตรายหรือรบกวนผู้อื่น เช่น เมื่อเด็กร้องไห้อาละวาดอยู่บนพื้นเพราะไม่ได้ดั่งใจ ควรทำเป็นไม่สนใจและปล่อยให้ร้องจนหยุดเอง เมื่อหยุดร้องจึงค่อยเข้าไปพูดคุยเพื่อสอนว่าการทำเช่นนี้ไม่น่ารัก ทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกเสียใจ และต่อไปควรแสดงออกอย่างไรถึงจะเป็นเด็กดี เมื่อลูกทำดีแล้วได้รับคำชื่นชมก็จะอยากทำสิ่งที่ดีมากขึ้น
4. ฝึกให้รับผิดชอบต่อการกระทำ
การฝึกระเบียบวินัยที่ดีคือลูกต้องรู้จักรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ โดยเริ่มต้นจากชีวิตประจำวัน เช่น หากลูกรื้อของเล่นแล้วไม่ยอมเก็บเอง แม่ก็จะเก็บและไม่ให้เล่นแล้วเพราะลูกไม่ดูแล, หากลูกเล่นซนทำบ้านเลอะเทอะ ก็ต้องทำความสะอาดด้วยตัวเอง เป็นต้น
5. ไม่ให้รางวัล/ งดกิจกรรมบางอย่างชั่วคราว แต่ต้องไม่เป็นอันตรายกับลูก
เป็นการลงโทษเพื่อสร้างเงื่อนไข เช่น หากไม่ทำการบ้านให้เสร็จ จะไม่ให้ออกไปเล่นกับเพื่อน, หากไม่เก็บของเล่นให้เรียบร้อย แม่จะไม่ซื้อตุ๊กตาที่หนูอยากได้ให้ เป็นต้น พร้อมกับสอนลูกด้วยว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้ เพื่อให้ลูกเข้าใจแล้วไม่ทำผิดซ้ำอีก
อย่างไร วิธีการต่างๆ นั้นเหมาะกับเด็กแต่ละช่วงวัยหรือสภาพแวดล้อมของแต่ละครอบครัวที่แตกต่างกัน โดยคุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าใจพัฒนาการตามวัยของเด็ก และเรียนรู้เพื่อนำไปปรับใช้ใหม่เหมาะสมกับนิสัยใจคอของลูกค่ะ ซึ่งการลงโทษแต่ละครั้งควรอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล ไม่ใช้อารมณ์ ความรุนแรง และอย่าลืมแสดงความรักด้วยคำพูดชื่นชม การกอด และให้รางวัลเมื่อลูกเป็นเด็กดี เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีในครอบครัวด้วยนะคะ
อ้างอิง
กรมสุขภาพจิต สถาบันราชานุกูล
Parentsone