ภัยร้ายที่ระบาดมากในหน้าฝนคงหนีไม่พ้นโรคไข้เลือดออก โดยจากสถานการณ์โรคไข้เลือดออกตั้งแต่ต้นปี 2566 จนถึงปัจจุบัน (16 สิงหาคม 2566) พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกแล้วรวม 65,552 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 99.05 ต่อประชากรแสนคน เพิ่มขึ้นสัปดาห์ละกว่า 5,000 ราย (ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 22 สิงหาคม 2566) นับเป็นอีกโรคที่อันตรายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กที่มีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าผู้ใหญ่
สาเหตุ
ยุงลาย เป็นพาหะตัวร้ายที่เราควรหลีกเลี่ยง ส่วนใหญ่แล้วคนปกติที่มีร่างกายแข็งแรงจะมีภูมิคุ้มกันโรค แต่เด็กหรือคนที่มีสภาพร่างกายไม่แข็งแรง เชื้อไข้เลือดออกจะเข้าทำลายระบบการไหลเวียนของเลือดได้ง่าย
อาการ
อาการเบื้องต้นที่พบหลังติดเชื้อไข้เลือดออกมักมีอาการเหมือนไข้หวัดทั่วไป แต่มีข้อสังเกตดังนี้
- มีไข้สูงฉับพลัน 38.5-40 องศา ประมาณ 2-7 วัน ไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน มีจุดเลือดตามตัว
กรณีอาการรุนแรง จะมีเลือดกำเดาไหล ถ่ายหรืออาเจียนเป็นเลือด มีอาการตับโต เมื่อกดจะเจ็บชายซี่โครงขวา และหากรุนแรงมากจะเกิดภาวะระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลวหรือภาวะช็อก ช่วงไข้ลด จะมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบาและเร็ว เกล็ดเลือดต่ำ รวมไปถึงไตวาย ซึ่งนับเป็นอันตรายที่นำไปสู่การเสียชีวิตได้
การรักษา
การรักษาเบื้องต้น คือ ให้ยาลดไข้ พาราเซตามอล ห้าม ใช้ยาแอสไพริน หรือไอบูโปรเฟน เพราะจะทำให้เลือดออกง่ายขึ้น ดื่มน้ำมากๆ และคอยเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ทันที เมื่อเริ่มมีอาการ
การป้องกัน
การป้องกันที่ดีที่สุด คือการกำจัดและหลีกเลี่ยงการถูกยุงลายกัด ได้แก่
- ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดย กำจัดภาชนะที่มีน้ำขัง, ใช้ทรายอะเบทใส่บ่อน้ำ หรือปล่อยปลาหางนกยูงเพื่อกำจัดลูกน้ำ
- ใช้สารเคมีพ่นกำจัด
- ป้องกันการถูงยุงกัด โดยจุดยากันยุง, ทาโลชันกันยุง และปกป้องร่างกายด้วยเสื้อผ้าแขนยาว ขายาว
ข้อมูลอ้างอิงจาก :
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล. ไข้เลือดออก [ออนไลน์]