เม็ด “ทราย” งามจากน้ำใจ สู่สายใยวัฒนธรรมถิ่นอีสาน

เม็ด “ทราย” งามจากน้ำใจ สู่สายใยวัฒนธรรมถิ่นอีสาน


โตขึ้นหนูอยากช่วยเหลือคนอื่น เหมือนที่คนอื่นเคยช่วยเหลือหนูให้มีวันนี้

            ใครเลยจะรู้ว่าเด็กผู้หญิงร่างกายผ่ายผอม น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และมีภาวะขาดสารอาหาร จะเติบโตเป็นน้องทรายที่แสนน่ารักและอ่อนหวาน ผู้เรียกรอยยิ้มให้กับผู้พบเห็นโดยเฉพาะเวลาที่น้องทรายออกลีลาร่ายรำไปกับท่วงทำนองเพลงพื้นบ้านอีสาน

             เมื่อ 10 ปีที่แล้ว “ทรายและอิฐ” สองพี่น้องจากที่ราบสูง ได้เข้ามาสู่การเลี้ยงดูของครอบครัวโสสะ ณ หมู่บ้านเด็กโสสะหนองคาย เนื่องจากยาย ญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ของเด็กทั้งสองคนล้มป่วยลงด้วยโรคชรา 


ครั้งแรกที่แม่เห็นน้องทรายตอนรับเข้ามาอยู่ที่หมู่บ้าน แม่ตกใจเหมือนกัน เพราะน้องผอมมาก ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้เลย แม่รู้สึกเลยว่าเราต้องช่วยเด็กคนนี้ให้ได้ ดีใจนะที่ได้น้องทรายมาเป็นลูก เรามีโอกาสได้ช่วยเขาจริงๆ

คุณแม่ของน้องทราย
คุณสายผล เผ่ามงคล

             หลังจากนั้นไม่นาน ด้วยความรัก ความเอาใจใส่และทุ่มเทของคุณแม่ และความอบอุ่นของพี่น้องในบ้าน สมาชิกของครอบครัวโสสะหลังนี้ ได้เติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของน้องพี่ "อิฐและทราย" จนทั้งคู่สามารถปรับตัวเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวและชุมชนหมู่บ้านเด็กโสสะได้ในที่สุด เราจึงได้เห็นรอยยิ้มของสองพี่น้องนี้อีกครั้ง โดยเฉพาะน้องทรายที่นอกจากความสดใสในวัยเด็กแล้ว ความสามารถด้านศิลปะของน้องก็ฉายแววออกมาตั้งแต่เริ่มเข้าวัยอนุบาล “ตอนแรกก็ให้น้องรำงานโรงเรียนเหมือนเด็กทั่วไป อย่างเวลาอนุบาลของโสสะมีงาน เราสนับสนุนลูกให้แสดงออกอยู่แล้ว ยิ่งได้แสดงรวมกับเด็กอื่นๆในชุมชนรอบๆหมู่บ้านที่มาเรียนที่อนุบาลของโสสะ ก็ยิ่งดี น้องจะได้รู้จักการเข้าสังคม

             แต่พอไปๆ มาๆ ความสามารถด้านนี้ของน้องทรายเริ่มส่อแววออกมาเรื่อยๆ อย่างรำนี่ ครูสอนครั้งเดียวเขาก็จำได้ แถมทำได้อ่อนช้อยถูกจังหวะ เราเห็นลูกเป็นอย่างนี้แล้วนอกจากความชื่นใจ เรายังต้องส่งเสริมลูกด้วย” คุณแม่สายผลกล่าวเสริมถึงความสามารถของลูกสาวคนเก่ง ทั้งเสริมด้วยว่า การได้ร่ายรำ เรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมไทยยังเป็นอีกส่วนสำคัญที่ช่วยในการเยียวยาเหตุการณ์ด้านลบในอดีตของน้องได้อีกทางหนึ่งด้วย ทำให้น้องได้รับการเติมเต็มและเสริมสร้างตัวแทนที่แข็งแกร่งและมั่นคงในชีวิต


            


เวลาที่หนูรำเป็นช่วงเวลาที่หนูมีความสุขมากค่ะ โดยเฉพาะรำให้คุณแม่ดู คุณแม่บอกว่าชอบเวลาที่หนูรำ” น้องทรายแบ่งปันความในใจนอกจากความสามารถด้านการรำและเซิ้งแล้ว น้องทรายยังเล่นขิมและซออู้ได้ดีอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยหากในงานเทศกาลหรือโอกาสพิเศษของหมู่บ้านเด็กโสสะหนองคาย เราจะได้เห็นน้องทรายอยู่แถวหน้าของขบวนเซิ้ง เพื่อสร้างความสนุกให้กับผู้รับชมหรือเดี่ยวขิม ที่ขับกล่อมให้ผู้รับฟังประทับใจในเสียงดนตรีไทยอันอ่อนโยนละเมียดละไม ด้วยความสามารถอันเป็นที่ประจักษ์ ทางคุณแม่และคุณอาผู้อำนวยการหมู่บ้านจึงส่งเสริมให้น้องทรายได้เข้าร่วมกิจกรรมชั้นเรียนพิเศษเพิ่มเติม ทั้งนาฎศิลป์และดนตรีไทยในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์และปิดเทอม โดยจะมีทั้งคุณครูนาฏศิลป์และครูดนตรีไทยมาฝึกสอนให้กับน้องทรายและเด็กๆในหมู่บ้านที่สนใจ “หนูชอบเวลาที่ไปซ้อมรำกับคุณครูมากค่ะ เพราะนอกจากจะได้ความรู้แล้ว ยังได้เรียนไปพร้อมกับเพื่อนๆ พี่ๆและน้องๆในหมู่บ้านด้วย อย่างรำนี่มันต้องเน้นความพร้อมเพรียงนะคะ โดยเฉพาะเซิ้งแบบอีสานนี่การจับจังหวะสำคัญมาก เพื่อให้ทุกคนรำออกมาสวยงามเป็นหนึ่งเดียวกันค่ะ

             ความคิดเห็นของหนูน้อยที่มีต่อกิจกรรมพิเศษ ซึ่งไม่เพียงให้ความรู้ในยามว่าง หากยังเพิ่มพูนทักษะเฉพาะด้านของเด็กๆและการเสริมสร้างความสามัคคีให้กับหมู่คณะอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นชั้นเรียนดนตรีไทยของหมู่บ้านเด็กโสสะหนองคายยังเติบโตเป็นคณะดนตรีไทยของเด็กๆ ที่มีฝีไม้ลายมือเข้าขั้นถึงขนาดเคยไปแสดงงานบุญ ไม่ว่าจะเป็นงานบวชงานแต่ง แถวหนองคายมาแล้วหลายต่อหลายครั้งจากวันนั้นถึงวันนี้

             น้องทรายเป็นพี่สาวคนโตของบ้านที่เป็นความภาคภูมิใจของคุณแม่ เพราะนอกจากความสามารถทางการแสดงของน้องทรายที่โดดเด่นแล้ว ด้านการเรียนและความรับผิดชอบงานบ้านน้องทรายก็ไม่ขาดตกบกพร่อง


น้องทรายจะช่วยคุณแม่ดูแลน้องกล้า น้องคนเล็กสุดของบ้านตอนนี้ เรียกได้ว่าเป็นมือขวาของคุณแม่เลย คำพูดที่ได้ยินจากน้องทรายเสมอ คือ คุณแม่มีอะไรให้หนูช่วยทำบ้างคะ เราได้ยินอย่างนี้ก็ชื่นใจ

 

คุณแม่สายผลกล่าวด้วยรอยยิ้มถึงความภาคภูมิใจในตัวลูกสาวคนดีนอกจากเวลาว่างของน้องทรายจากการเรียนและการซ้อมรำและดนตรีไทยแล้วกิจกรรมที่คุณแม่และสมาชิกครอบครัวของน้องทรายชอบทำร่วมกัน คือ การทำอาหารโดยเฉพาะอาหารพื้นบ้านอีสานที่คุณแม่ได้สอนและฝึกลูกๆทุกคนให้ลงมือปรุงอาหารเองได้ด้วย ดังนั้นจึงเป็นภาพที่ชินตาที่จะเห็นคุณแม่สายผลพาลูกๆมาปูเสื่อที่สนามหน้าบ้าน พร้อมครกและเตาย่างครบสูตร และที่ขาดไม่ได้ คือ กระติ๊บข้าวเหนียว “น้องกล้าชอบกินข้าวเหนียวมาก แต่บางทีต้องช่วยคุณแม่ดู เพราะถ้าน้องกินมากเกินไปจะไม่ยอมกินนม อย่างน้องกล้านี่จะชอบกินนมที่หนูชงมาก” น้องทรายเล่าถึงน้องกล้าวัยสามขวบด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขและไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยกับหน้าที่สำคัญในการช่วยคุณแม่เลี้ยงน้องคนนี้เลย

             นอกจากเรื่องของการเรียนหนังสือและประพฤติดีแล้ว คุณแม่สายผลมักสอนลูกให้รู้จักการเป็นผู้ให้และรักในความเป็นคนไทยในวัฒนธรรมไทยที่ดีงาม “แม่สอนลูกเสมอเรื่องการไม่ลืมตัว ไม่ลืมว่าเรามาจากไหน เราเป็นคนอีสาน ความเป็นลูกอีสานมันมีความหมายมากนะ ให้เราขยัน ซื่อสัตย์และอดทน ที่สำคัญ ต้องจริงใจกับตัวเอง อย่างพื้นแผ่นดินอีสานที่ใครๆคิดว่ามันแห้งแล้ง แต่เราไม่เคยแห้งแล้งน้ำใจและความจริงใจนะ ตราบใดที่เรามีโอกาสเราควรช่วยเหลือคนอื่น ไม่ใช่รอเป็นผู้รับเพียงอย่างเดียว”

และแล้วจากคำสอนที่เปรียบดังการรดน้ำ พรวนดินลงในเมล็ดพันธุ์แห่งรักของคุณแม่สายผล ก็ผลิดอกออกใบอ่อน ยอดงามให้เราได้เห็นอยู่รำไร เมื่อเราถามถึงความฝันของน้องทรายในอนาคต


หนูอยากเป็นพยาบาลค่ะ โตขึ้นไปหนูอยากช่วยเหลือคนอื่น เหมือนที่คนอื่นได้ช่วยเหลือหนูให้มีวันนี้

 

นาทีนี้ เราอดไม่ได้ที่จะ จินตนาการถึงน้องทรายกับการเป็นนางพยาบาลผู้มีจิตใจอ่อนโยนพร้อมที่จะดูแลผู้เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างเต็มกำลัง และแม้วันเวลา และความตั้งใจในอนาคตของหนูน้อยจะยังอยู่อีกไกล แต่บทบาทในการเป็นผู้ให้ของน้องทรายกลับเริ่มต้นขึ้นแล้ว ด้วยการเป็นผู้แบ่งปันความสุข รอยยิ้ม และความชื่นชมยินดี ด้วยท่วงท่าอันอ่อนช้อยงดงามในการร่ายรำและเล่นดนตรีไทยให้กับผู้รับชมรับฟัง เป็นบทบันทึกอันมีชีวิตชีวาของลูกหลานอีสาน ที่สร้างความชุ่มชื่นใจให้แก่ผู้ที่ได้พบเห็นเสมอ


             ตราบที่ผืนแผ่นดินอีสานไม่เคยแห้งแล้งความร่ำรวยทางวัฒนธรรมฉันใด ตราบนั้นเราเชื่อว่าน้ำใจไม่เคยเหือดหายไปจากน้ำใจของคนไทย ที่จะช่วยเหลือเด็กไทยอีกเป็นจำนวนมากให้ได้มีโอกาสที่สองในชีวิตและมีวัยเด็กที่เปี่ยมสุข อีกทั้งได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีของสังคม เป็นพลังสำคัญในการพัฒนาบ้านเมืองของเราต่อไปเช่นกัน