มูลนิธิเด็กโสสะ-เมื่อลูกชอบกรี๊ด ควรทำอย่างไร? แนวทางการแก้ไขที่พ่อแม่ควรรู้ banner
กรกฎาคม 4 2568

เมื่อลูกชอบกรี๊ด ควรทำอย่างไร? แนวทางการแก้ไขที่พ่อแม่ควรรู้

เสียงกรี๊ดของลูกอาจทำให้พ่อแม่รู้สึกตกใจหรือเครียด โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นบ่อยในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น ในที่สาธารณะ หรือช่วงเวลาที่ควรสงบ อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงออกทางอารมณ์ตามวัยที่สามารถเข้าใจและจัดการได้ หากพ่อแม่รับมืออย่างถูกวิธี เด็กก็จะเรียนรู้วิธีสื่อสารอย่างเหมาะสมและเติบโตอย่างมีสุขภาพจิตดีค่ะ

สาเหตุที่เด็กชอบกรี๊ด

1. ต้องการเรียกร้องความสนใจ

เมื่อเด็กต้องการความรักหรือรู้สึกว่าตัวเองถูกมองข้าม พวกเขาอาจใช้เสียงกรี๊ดเป็นเครื่องมือเพื่อดึงดูดความสนใจจากพ่อแม่หรือผู้ดูแล โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีลูกหลายคน หรือพ่อแม่ทำงานจนไม่มีเวลาให้ เด็กจะใช้พฤติกรรมนี้เพื่อ “บอกว่าเขาอยู่ตรงนี้นะ”

2. การแสดงออกทางอารมณ์

เด็กในวัยก่อนเข้าโรงเรียนมักยังไม่สามารถอธิบายความรู้สึกตัวเองได้ดี พวกเขาจึงเลือกใช้เสียงในการระบายความรู้สึก ไม่ว่าจะโกรธ หงุดหงิด ตื่นเต้น หรือเศร้า การกรี๊ดคือการระบายอารมณ์โดยไม่ผ่านกระบวนการคิดหรือควบคุม

3. พฤติกรรมเลียนแบบ

เด็กเรียนรู้จากสิ่งรอบตัวได้รวดเร็ว หากพวกเขาเห็นเด็กคนอื่นใช้เสียงกรี๊ดแล้วได้สิ่งที่ต้องการ เช่น ขนม ของเล่น หรือความสนใจ เด็กก็มีแนวโน้มจะทำตามทันที โดยไม่รู้ว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

4. การทดลองใช้เสียง

ในบางช่วงวัย เด็กอยากรู้ว่าตัวเองมีศักยภาพอะไรบ้าง เสียงกรี๊ดจึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาอยากทดลอง โดยเฉพาะเมื่อลูกเริ่มรู้จักควบคุมเสียงและสนุกกับเสียงสะท้อนหรือปฏิกิริยาของคนรอบข้าง

5. มีความต้องการที่ยังไม่สามารถสื่อสารได้

เด็กเล็กอาจยังไม่มีทักษะด้านภาษามากพอจะบอกสิ่งที่ต้องการ เมื่อรู้สึกหงุดหงิด อึดอัด หิว หรือเหนื่อย เขาจึงใช้เสียงกรี๊ดแทนการพูด เพราะรู้สึกว่านั่นเป็นวิธีเดียวที่ทำให้คนอื่นเข้าใจว่าเขามีปัญหา

มูลนิธิเด็กโสสะ-เมื่อลูกชอบกรี๊ด ควรทำอย่างไร แนวทางการแก้ไขที่พ่อแม่ควรรู้-infographic

แนวทางการแก้ไขเมื่อลูกชอบกรี๊ด

1. สังเกตสาเหตุของการกรี๊ด

ให้พ่อแม่ลองจดจำช่วงเวลาที่ลูกกรี๊ดบ่อยๆ ว่ามีรูปแบบหรือสถานการณ์ซ้ำๆ หรือไม่ เช่น หิว เหนื่อย ง่วง หรือต้องการของบางอย่าง การรู้เบื้องหลังของพฤติกรรมจะช่วยให้พ่อแม่วางแผนรับมือได้ตรงจุด

2. สอนให้ลูกใช้เสียงที่เหมาะสม

เริ่มจากการที่พ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกก่อน ต้องไม่แสดงอารมณ์โกรธ การตะโกนเสียงดังให้ลูกเห็น รวมถึงบรรยากาศรอบข้าง เช่น การเปิดทีวี วิทยุ มือถือ ฯลฯ ที่ไม่ใช้การเปิดเสียงดังเกินไป และสอนให้ลูกรับรู้ว่าเราควรใช้เสียงในระดับไหนถึงจะเหมาะสม เช่น ลูกสามารถเล่นเสียงดังได้เมื่อถึงเวลาเล่น ในพื้นที่ของตนเองหรือที่สนามเด็กเล่น  แต่หากอยู่ในที่สาธารณะนั้นไม่ควรตะโกนหรือกรี๊ดเสียงดัง 

สื่อสารให้ชัดเจนว่า “ที่บ้านเราพูดกันด้วยเสียงเบานะคะ” หรือ “เล่นเสียงดังได้ตอนอยู่ในสวน แต่ไม่ใช่ตอนนั่งทานข้าว” เมื่อลูกเข้าใจกติกาและเห็นว่าทุกคนทำตาม เขาก็จะเรียนรู้ได้รวดเร็วขึ้น โดยพ่อแม่อาจใช้เกมหรือกิจกรรมสนุกๆ เช่น “เสียงนุ่มนวล vs เสียงมังกรพ่นไฟ” แล้วให้ลูกลองพูดประโยคเดียวกันด้วยเสียงต่างๆ เพื่อสอนให้เขารู้ว่าเสียงแบบไหนน่าฟัง และเสียงแบบไหนทำให้คนอื่นตกใจ

3. ไม่ตอบสนองต่อการกรี๊ดมากเกินไป

ถ้าลูกกรี๊ดเพื่อเรียกร้องสิ่งที่ไม่เหมาะสม พ่อแม่ควรวางเฉยกับพฤติกรรมนั้น ให้พ่อแม่พยายามพูดกับลูกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ไม่ตะคอกสวนกลับ แล้วชวนลูกหาวิธีสื่อสารแทนเสียง เช่น “แม่อยากฟังหนูพูดนะคะ ไม่ใช่เสียงกรี๊ด” เมื่อลูกใช้เสียงปกติหรือท่าทีเหมาะสม ควรชมเชยและให้ความสนใจทันที เด็กจะเรียนรู้ว่าการกรี๊ดไม่ได้ผล แต่การพูดดีๆ ได้รับการตอบรับ ซึ่งบางครั้งอาจไม่ต้องรอให้ลูก “เลิกกรี๊ด” ให้ชมเมื่อเขา “เริ่มพูดดีๆ” แทน เช่น “แม่เห็นว่าหนูพยายามพูดเบาๆ แล้วนะ เก่งมากเลยลูก” เด็กจะรู้สึกภูมิใจและอยากทำซ้ำ

4. สอนการควบคุมอารมณ์

สอนให้ลูกทำความเข้าใจอารมณ์ตนเอง ให้เขาบอกกับพ่อแม่ว่าตอนนี้เขากำลีงโกรธ กำลังเสียใจเพราะอะไร และอธิบายถึงเหตุผลให้ลูกเข้าใจ พร้อมสอนวิธีการแสดงอารมณ์อย่างเหมาะสม  ไม่ควรดุว่าหรือตำหนิเมื่อเขาแสดงอารมณ์ เพราะอาจทำให้เขากลายเป็นคนเก็บกดและมีภาวะเครียด ซึมเศร้าได้ 

โดยพ่อแม่สามารถสอนให้ลูกหายใจเข้าลึกๆ แล้วเป่าลมหายใจออกช้าๆ นับ 1-10 พร้อมชวนลูกจินตนาการว่า “เรากำลังเป่าลูกโป่งใบโต” วิธีนี้จะช่วยให้เด็กสงบลง และเป็นการฝึกการจัดการอารมณ์เบื้องต้นที่ได้ผลดี

5. เบี่ยงเบนความสนใจ

หากเห็นว่าลูกเริ่มจะกรี๊ด ลองดึงความสนใจไปที่อย่างอื่น เช่น ชวนดูรูปสัตว์ เล่นเกมจับผิดภาพ หรือให้ช่วยหยิบของเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ตัว วิธีนี้จะช่วยลดอารมณ์ลบและเปลี่ยนโฟกัสของเด็กได้ทันที

6. ฝึกให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง

เริ่มจากฝึกให้ลูกช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวัน เช่น ล้างหน้า แปรงฟัน แต่งตัวด้วยตัวเอง ช่วยแม่พับผ้า เก็บของเล่นด้วยตัวเอง ฯลฯ จะช่วยฝึกความรับผิดชอบ การพึ่งพาตนเอง ช่วยลดภาวะที่ลูกจะกรี๊ดเพื่อเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่โดยไม่จำเป็น

เด็กบางคนกรี๊ดเพราะอึดอัดจากพลังงานที่ล้นเกิน ถ้าให้โอกาสวิ่งเล่น กระโดดโลดเต้น หรือวาดภาพ เล่นทราย เด็กจะได้ระบายพลังออกมาในทางสร้างสรรค์ ลดความตึงเครียดลงได้มาก

อ่านเพิ่มเติม

เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ?

การประเมินโดยจิตแพทย์เด็กหรือนักจิตวิทยา จะช่วยหาสาเหตุเชิงลึกและแนวทางที่เหมาะกับลูกแต่ละคน โดยพ่อแม่ควรพาลูกไปพบผู้เชี่ยวชาญหากพบว่า

  • ลูกกรี๊ดบ่อยจนรบกวนชีวิตประจำวัน เช่น ไม่ยอมนอน ไม่ไปโรงเรียน หรือมีปัญหาทางสังคม
  • พฤติกรรมกรี๊ดรุนแรงขึ้น มีการกัด ขว้างของ หรือทำร้ายตัวเอง
  • ลูกไม่สามารถใช้คำพูดได้ตามวัย และใช้แต่เสียงกรี๊ดแทนการสื่อสาร
  • มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น สมาธิสั้น พัฒนาการล่าช้า หรือก้าวร้าวเกินวัย

มูลนิธิเด็กโสสะ-ดูแลเด็กด้วยความเข้าใจ และไม่ตัดสิน-หมู่บ้านเด็กโสสะ

ดูแลเด็กด้วยความเข้าใจ และไม่ตัดสิน

มูลนิธิเด็กโสสะฯ เข้าใจดีว่าเด็กแต่ละคนมีพฤติกรรมและความต้องการเฉพาะตัว คุณแม่โสสะ คุณน้า และเจ้าหน้าที่จะได้รับการอบรมเรื่องพัฒนาการเด็ก การสื่อสารกับเด็ก และการควบคุมอารมณ์อย่างเหมาะสม เพื่อสามารถดูแลเด็กด้วยความเข้าใจและอ่อนโยน เพราะเราเชื่อว่าการเลี้ยงดูอย่างใส่ใจและสม่ำเสมอในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย คือรากฐานสำคัญที่จะทำให้เด็กเติบโตอย่างมั่นคง มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ และพร้อมเผชิญกับโลกภายนอกอย่างเข้มแข็งในอนาคต


อ้างอิง
กรมสุขภาพจิต
Thai PBS Kids
Samitivej hospitals

Copyright © All Right Reserved