พ่อแม่ทุกคนย่อมอยากให้ลูกเป็นคนเก่ง เป็นเด็กดี และมีความสามารถ แต่ในความเป็นจริง เด็กแต่ละคนมีอัตลักษณ์เฉพาะตัว แม้จะอยู่ในบ้านเดียวกัน เรียนที่เดียวกัน หรือเติบโตภายใต้สภาพแวดล้อมเดียวกัน ก็ไม่สามารถเหมือนกันได้ทุกด้าน
การเปรียบเทียบ จึงกลายเป็นพฤติกรรมที่พ่อแม่หลายคนทำโดยไม่รู้ตัว เพราะมีความคาดหวัง หรืออยากให้ลูกรู้จักพัฒนา แต่คำพูดเหล่านั้นอาจกลายเป็นบาดแผลที่ฝังลึกในใจลูกโดยไม่ตั้งใจ
ทำไมพ่อแม่ถึงมักเปรียบเทียบลูก?
1. เพราะความคาดหวัง
พ่อแม่หลายคนเผลอพูดเปรียบเทียบด้วยความหวังดี เช่น
- “ดูน้องเอสิ ตั้งใจเรียนจนได้คะแนนเต็ม”
- “น้องบีข้างบ้านได้รางวัลวิชาการ ลองเอาอย่างเขาดูสิ”
2. เพราะอยากให้ลูกมีต้นแบบ
การยกตัวอย่างเด็กคนอื่นให้ลูกดูเป็นเพียงเจตนาดี เช่น
“น้องเขาเด็กกว่าลูกยังยิ้มแย้มกับผู้ใหญ่เลย ทำไมลูกถึงไม่ทำแบบน้องบ้าง ผู้ใหญ่เขาจะได้เอ็นดู”
3. เพราะอารมณ์โกรธและผิดหวัง
เวลาที่พ่อแม่อารมณ์เสีย จะควบคุมถ้อยคำได้ยากขึ้น เช่น
- “ทำไมทำอะไรก็ไม่ได้ดีเหมือนพี่ชาย”
- “หัดทำตัวดีๆ แบบน้องบ้างสิ”
- “ตั้งใจเรียนเพื่อนบ้างสิ จะได้ไม่แย่แบบนี้”
แต่คำพูดที่ฟังดูเหมือนไม่รุนแรงเหล่านี้ อาจส่งผลทางลบยาวนานเกินคาด พ่อแม่ควรทำการระงับความโกรธก่อนทำร้ายลูกอย่างไม่ตั้งใจ
![do-not-compare-your-kids - มูลนิธิเด็กโสสะ หยุดทำร้ายลูก ด้วยการเปรียบเทียบ-ผลกระทบ]()
ผลกระทบจากการเปรียบเทียบลูก
1. ลดความมั่นใจ และความเคารพในตนเอง
เด็กจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ไม่เก่ง ไม่ดีเท่าคนอื่น
2. กลายเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าเข้าสังคม
การเปรียบเทียบทำให้รู้สึกว่าตัวเอง “ไม่ดีพอ” อยู่เสมอ
3. ทำลายความสัมพันธ์ในครอบครัว
ลูกอาจรู้สึกกดดัน อิจฉาริษยา หรือห่างเหินกับพ่อแม่และพี่น้อง
4. แสดงพฤติกรรมต่อต้าน
เมื่อความน้อยใจสะสม เด็กบางคนอาจประชด หยิ่งยโส หรือเลือกทำตรงข้ามกับที่พ่อแม่ต้องการ
คำพูดเปรียบเทียบ = การบูลลี่ทางจิตใจ
ไม่ต่างจากการทำร้ายลูกด้วยคำพูดที่ ละเมิดสิทธิเด็ก ด้านวาจาและอารมณ์
แล้วควรทำอย่างไร? เมื่อไม่อยากเปรียบเทียบลูกอีก
พูดสิ่งที่อยากให้ลูกทำ “อย่างชัดเจน”
❌ “ตั้งใจเรียนเหมือนพี่บ้าง”
✅ “ถ้าลูกแบ่งเวลาเรียนกับเล่นได้ดีขึ้น แม่เชื่อว่าคะแนนจะดีขึ้นแน่เลย”
โฟกัสที่ข้อดีของลูก
ลูกทุกคนมีจุดแข็งในแบบของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเก่งเหมือนใคร
เช่น อาจไม่เก่งวิชาการ แต่ชอบศิลปะ กีฬา หรือช่วยงานบ้านเก่ง ก็เป็นเรื่องที่ควรชื่นชม
ชื่นชมแม้เพียงเรื่องเล็กน้อย
คำว่า “เก่งมาก” “แม่ภูมิใจนะ” มีพลังบวกมากกว่าที่คิด และส่งผลต่อการพัฒนา Self-esteem ในระยะยาว
ให้กำลังใจเวลาที่ลูกพลาด
แทนที่จะตำหนิ ลองหาคำพูดที่สร้างแรงใจและสนับสนุนให้ลุกขึ้นใหม่ เช่น
“แม่รู้ว่าลูกพยายามแล้วนะ ไม่เป็นไร ครั้งหน้าค่อยลองใหม่อีกที”
เข้าใจอัตลักษณ์ของเด็ก – ไม่เปรียบเทียบกัน
มูลนิธิเด็กโสสะฯ เราให้ความสำคัญกับ “ความต่าง” ของเด็กแต่ละคน เด็กๆ ที่นี่แม้จะเติบโตในบ้านเดียวกัน ภายใต้การดูแลของคุณแม่โสสะ แต่ทุกคนได้รับความเข้าใจ การสนับสนุนตามศักยภาพเฉพาะตัว โดยไม่มีการเปรียบเทียบหรือแบ่งแยก
เพราะเราเชื่อว่าเด็กทุกคนมีคุณค่าในแบบของตัวเอง
และสามารถเติบโตเป็นคนดี มีทัศนคติที่ดีต่อสังคมได้ไม่แพ้ใคร
ตัวอย่างความสำเร็จของลูกโสสะฯ
![แก้ม ปัญญ์วณิชยา ฤทธิ์ยืนยง หนึ่งในความสำเร็จจากหมู่บ้านเด็กโสสะเชียงราย - sosthailand-nong-gam-success-stories-chiangrai]()
“เท่าที่จำความได้ เริ่มแรกที่เข้ามาในหมู่บ้าน รู้สึกว่าการเริ่มต้นอะไรสักอย่างมักจะมีความกลัวเสมอ แต่การที่ได้รับการสนับสนุนจากรอบข้างทำให้หนูมีวันนี้ หนูมีความมั่นใจมากขึ้นๆ หนูขอขอบคุณทุกคนที่คอยสนับสนุนไม่ว่าอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคำชี้แนะ การอบรมสั่งสอนหรือแม้จะเป็นแค่คำชมเล็ก ๆ ที่คอยผลักดันหนูให้ประสบความสำเร็จ”
แก้ม ปัญญ์วณิชยา ฤทธิ์ยืนยง
หนึ่งในความสำเร็จ จากหมู่บ้านเด็กโสสะเชียงราย
จบการศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
![หมวย พลอยไพริล ภูมิสุทธาผล หนึ่งในความสำเร็จจากหมู่บ้านเด็กโสสะภูเก็ต - sosthailand-Ploypailin-success-stories-phuket]()
“หนูไม่เคยอายที่จะบอกใครๆ ว่าหนูเป็นเด็กมูลนิธิฯ เพราะที่นี่คือบ้าน คือทุกอย่างสำหรับเรา ที่นี่เราได้มีแม่ ผู้ซึ่งต่อให้เราเดินออกมาจากที่นั่นแล้ว แต่แม่ก็ยังเป็นแม่ของเราอยู่ พี่น้องในบ้าน คุณน้าคุณอาทุกคนในหมู่บ้านก็เช่นกัน ทุกคนคือคนในครอบครัวที่หนูมี”
หมวย พลอยไพริล ภูมิสุทธาผล
หนึ่งในความสำเร็จ จากหมู่บ้านเด็กโสสะภูเก็ต
จบจากมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ สาขาอนามัยสิ่งแวดล้อม
สรุป
“หยุดเปรียบเทียบลูก” ไม่ได้แปลว่าไม่คาดหวัง แต่คือการเปลี่ยนความคาดหวังเป็น “การเข้าใจ” และเปลี่ยนคำพูดที่อาจทำร้ายใจลูกเป็นกำลังใจที่พาเขาเติบโตในแบบที่เขาเป็นได้ดีที่สุดค่ะ
อ้างอิง
Thaichildrights
Passeducation